วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

[Howto] เชงเม้งอย่างไรให้สนุกฉบับวัยรุ่น


เชื่อว่า...คนไทยในปัจจุบันมีเหลืออยู่ไม่กี่%หรอก...ที่จะไม่มีเชื้อสายจีนจริงไหมคะ...และแน่นอนว่าในหมู่ลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีนเมื่อพูดถึงในช่วงนี้ก็ต้องนึกถึงเทศกาล“เชงเม้ง”อย่างแน่นอน พูดถึงเชงเม้ง...เราจะนึกถึงอะไรกัน อากาศร้อน....จนผิวพัง....ญาติผู้ใหญ่มากมายทั้งอากง อาม่า  อาโกว อาเจ๊ก เหล่าโกวอาแปะ ตั่วอึ้ม ซาโกว เหล่าเตี๋ยว...และอื่นๆอีกมากมายที่ตามมา...ญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายก็จะเม้ากันอย่างเมามัน...ในขณะที่พวกเรา...ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างตามประสาพวกไม่รู้ภาษาจีนดีพอ  แถมของกินก็...เดิมๆทุกปี(ตามสไตล์แต่ละบ้าน...ยึดบ้านเราเป็นหลักแล้วกัน)มีแต่ซาลาเปา ส้ม แอปเปิ้ล...ลูกชุบไปตามเรื่อง...เพราะฉะนั้นวันนี้...ข้าพเจ้าขอเสนอ...วิธีการเชงเม้งให้สนุก ตามแบบวัยรุ่น แม้ว่าปัญหาเรื่องความร้อน...ข้าพเจ้าอาจไร้ทางแก้ ใครมีวิธีอย่างไรจะโบ๊ะครีมจะพันผ้าจะถือร่มอย่างไรอันนี้คงต้องตัวใครตัวมันก็ตาม...... เอ้า!!! ได้เวลาแล้ว..ตามมาดูกันเลย

หลักการที่๑ “การแหกกฎที่ได้รับการชื่นชม” อันนี้เหมาะสำหรับเด็กมากกว่าวัยรุ่น...แต่...ลองอ่านดูก่อนแล้วกัน..สมัยเด็กๆ มีเด็กคนไหนบ้างที่ไม่อยากเล่น"ไฟ"โอ๊ยไอ้เผากระดาษเล่น เล่นเทียน เล่นไม้ขีดเนี่ย ของมันน่าลองแต่ก็เชื่อว่า “อย่าเล่นกับไฟ” เนี่ยจะเป็นกฎเหล็กของหลายๆบ้าน ว้า! ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ 
แต่....กฎเหล็กนี้...ก็ไม่ได้ถูกห้ามเสมอไปหรอกมันก็ยังมีเวลาที่เป็นช่องโหว่อยู่!!!!  แล้วจะมียามใดเล่า...ที่เราจะเล่นกับไฟได้โดยได้รับการชื่นชมจากผู้ใหญ่...ถ้าไม่ใช่ตอนไหว้บรรพบุรุษ...กระดาษเงินกระดาษทองกองบะเร่อเผาไปสิ...ใครอาร์ตจัดญาติเยอะ...ชวนกันเล่นละครรอบกองไฟไปด้วยเลย...รับรองมันส์พิลึก...
เท่านั้นยังไม่พอ...สำหรับเด็กผู้หญิง...เคยไหมจินตนาการว่าตัวเองเป็นนางฟ้าน้อยๆเจ้าหญิงน้อยๆ...อยู่ในสวนดอกไม้เดินไปไหนก็ดอกไม้ปลิววว (เข้าทำนองเพลง...”เจอเธอเมื่อไรหัวใจมันหวิววววเด็ดดอกไม้ปลิวจนเกลื่อนถนนน” <<เพลงเก่าโคตรรู้อายุหมด)ถ้าเอาดอกไม้ที่บ้านมาเล่นจะเป็นยังไง...นอกจากจะโดนด่าเพราะเปลืองดอกไม้แล้ว...รับรองยังโดนให้ไปนั่งเก็บอีก...โอกาสนี้จะมีเมื่อไหร่อีกถ้าไม่ใช่เชงเม้ง...อย่าเล่นอยากโปรยอยากคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงน้อยกลางสวนดอกไม้บานก็...เอาเลยยยเต็มที่ไม่มีใครห้ามคุณ...เผลอเขาจะชมที่คุณช่วยงานเสียอีก...เป็นไงกันบ้างหล่ะคะ...จะมีสักกี่ครั้งในรอบปีที่คุณจะแหกกฎของบ้านแล้วกลับมาพร้อมกับคำชม



หลักการที่ ๒ “ครีเอทีฟไว้ก่อน...ป้องกันความซ้ำซากจำเจ”คุณเบื่อไหม(ที่ต้องทนกับคนไม่เอาถ่าน...เย้ยไม่ใช่!!!)กับการที่ต้องมานั่งโปรยดอกไม้ วางสายรุ้ง แบบมั่วๆซั่วๆไร้ศิลปะ หรือถึงทำก็ทำแบบRandomไปเรื่อย...ข้าพเจ้าขอเสนอ...วิธีการอาร์ตๆเพื่อทำให้การจัดแต่งฮวงซุ้ยไม่น่าเบื่ออย่างที่คุณคิด...คำที่ช่วยคุณได้คำนั้นคือ..”ครีเอทีฟ”นั่นเองเพียงคุณเติมแต่งจินตนาการลงไปในระหว่างการทำพิธีเล็กน้อย...เท่านั้นความสนุกก็จะบังเกิดโดยเราสามารถใส่ครีเอทีฟเข้าไปได้หลายจุดด้วยกัน 
ขอเริ่มจาก ด้านหลังฮวงซุ้ย...เคยใช่ไหมโปรยดอกไม้Random...มันน่าเบื่อใช่ไหม...ทำไมไม่ลองทำให้มันเป็นรูปหล่ะ...จัดไปเลยปีนี้ธีมอะไรก็วางไป หรือจะทำเป็น ลายกราฟฟิกเจ๋งๆก็เก๋ไม่เบานะ...อย่างปีที่แล้ว...ข้าพเจ้าวางเป็นรูปหยินหยาง...ใหญ่ๆเอาดอกไม้มาถมๆๆๆๆเป็นสีให้แตกต่างอย่างสวยงาม...ส่วนปีนี้ข้าพเจ้าเลือกทำเป็นลายตารางหมากรุก...ก็เก๋ใช่ย่อย...ไม่ลองไม่รู้นะคะ...แล้วจะรู้ว่า...จัดฮวงซุ้ยก็จัดให้เก๋ได้(ด้วยความเคารพ...นะคะเหล่าบรรพบุรุษ)นอกจากการจัดด้านหลังฮวงซุ้ยแล้ว...
ไหนมีอะไรให้เราครีเอทได้อีก...โอ้ว...ไม่น่าเชื่อ...สิ่งนั้นคือ...”กระดาษเงินกระดาษทอง”เคยไหมกระดาษ๔เหลี่ยมใบจิ๋วๆให้เราพับเป็นทองพับอยู่นั่นแหละ...ไอเดียนี้...เกิดจากความไร้เดียงสาของน้องสาวข้าพเจ้าเอง(ขอบอกมันเหตุการณ์นี้...เกิดขึ้นจริงค่ะ)เหตุมันเกิดก็เพราะว่า หลังจากนั่งสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี๊ยมเข้าไปได้ ๕-๖ ปีแรกของชีวิตเมื่ออายุได้สัก ๗ ขวบ...น้องข้าพเจ้าในวัยช่างสงสัยก็เริ่มอดใจไว้ไม่ไหวและเริ่มสอบถามอาม่าว่า...ไอ้กระดาษเงินกระดาษทองเนี่ย...พับเพื่อออออ????เผาเพื่อ???คำตอบอย่างมีหลักการจากอาม่าก็คือ...เราพับเป็นรูปทองส่งไปให้อาเหล่ากงไง...อาเหล่ากงจะได้มีเงินใช้มีทองใช้...เท่านั้นแหละน้องข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อ...แล้วหยิบกระดาษไปนั่งหลบมุมพับอยู่คนเดียว...
หลังจากนั้นไม่กี่นาที...มันก็วิ่งกลับมา...พร้อมกับกระดาษในมือที่ถูกพับ...เป็นรูป...”เรือใบ”พร้อมกับคำชี้แจ้งอย่างภูมิใจว่า “หนูพับเรือใบมาให้อาเหล่ากงค่ะ...เหล่ากงจะได้มีเรือใบนั่ง”ทันทีที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น...น้องชายอีกคนที่อายุห่างกันแค่๑ปี...ก็หยิบกระดาษไปอีกใบ...ไปนั่งหลบมุม..และแล้ว....มันก็กลับมา...พร้อมกับ...จรวดเงินจรวดทองในมือ...และคำอธิบายที่ว่า“เหล่ากงมีเรือใบแล้ว...ผมพับจรวดมาให้...เผื่อเหล่ากงอยากนั่งจรวด” ....สรุปแล้ว...ท่าทางบรรพบุรุษของข้าพเจ้าจะได้ทั้งเรือใบทั้งจรวดอย่างแน่นอนค่ะ...คุณผู้อ่าน...สนใจไปลองใช้บ้าง...ก็ไม่ว่ากันนะคะ...ใครจะพับนกพับเต่า พับหุ่นยนตร์ส่งไป..ก็ครีเอทีฟกันได้ตามสบาย...ก็แหม่ให้ไปแต่เงินแต่ทองบรรพบุรุษเบื่อแย่...หาอะไรแปลกๆให้ท่านใช้บ้างก็แล้วกัน^^ (แต่สมัยนี้สงสัยจะเผาไอโฟนไปให้กันมากกว่านะ)


 

หลักการที่๓ “สตูดิโอกลางแจ้ง” แหมๆ...คิดไม่ถึงหล่ะสิ ว่าสถานที่เชงเม้งเนี่ย...มันช่างเป็นสตูดิโอกลางแจ้งที่แสนเหมาะสม ด้วยแสงที่ดีมากกกกกก(จริงๆนะจ๊ะ)เหมาะแก่การถ่ายภาพ...ฟ้าที่มักจะโฟปร่งใส..สีสวย... ประกอบกับเนินหญ้าและฉากหลังอันเป็นธรรมชาติ...และพร็อบที่เพียบพร้อมไหนๆก็ออกแดดแล้วถ่ายภาพมันให้สนุกไปเลย เย้ๆอ๊ะๆอย่าดูถูกไป...มีภาพมาโชว์ๆ...แบบนี้สตูดิโอพอไหมคะ

วิธีที่ ๔ “วางระเบิด จุดประทัด ไม่แคร์กฎหมาย”จากสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้...ก็น่าจะทราบๆกันอยู่ว่าถ้าเกิดนั่งๆอยู่แล้วมีเสียงระเบิดขึ้นมาแม้แต่แอะเดียว...เรื่องใหญ่แน่นอน ยิ่งมีข่าวโยนประทัดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมบ่อยๆ...แหม่...อันตรายจริงๆ...แต่...ณ ที่นี้...เชงเม้ง...คุณสามารถจุดประทัดบ้าบอกี่พันดอกก็ได้ตามใจคุณ...ระเบิดมันให้สะใจไปข้างแค้นใครก็จินตนาการไปแล้วกันว่า เรากำลังจุดประทัดใส่มันอยู่...หึหึหึหึหึ....อย่างวันนี้ก็ล่อไป ๒ ที่...ที่ละ ๕๐๐๐ดอกเอง...สะใจเป็นบ้า!!!!

View ViewPoint PointOfView



ป.ล. ชอบคุณภาพประกอบบางภาพจาก http://www.udclick.com/ และ http://www.mookeep.com/ค่ะ





วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

ในอาณาจักรร้านหนังสือ

นี่เป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่วันรับปริญญาเมื่อกลางปีที่แล้ว ที่ข้าพเจ้าตัดสินใจเข้ามาเดินวนอยู่ภายในร้านเป็นเวลานาน เดินเลือกพลิกหนังสือทีละเล่ม ทีละหมวดอย่างพยายามใจเย็น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากเท่านั้น...

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าจัดว่าเป็นบุคคลบ้าหนังสือ บ้ามาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่แม่อ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่ยังเล็ก และเมื่อเริ่มอ่านหนังสือเองออกแม่ก็จะเริ่มเลือกหนังสือที่มีเรื่องราวน่าติดตามมาอ่านให้ฟังเสมอ....และแม่ไม่เคยอ่านจบ

แม่มักหยุดอ่านหนังสือในตอนที่สนุกที่สุด ทำเป็นนำหนังสือไปซ่อน(ในที่ที่ข้าพเจ้ามองเห็น) และบอกว่าถ้าเป็นเด็กดี รับประทานผักผลไม้ และปฏิบัติตามคำสั่งอีกมากมายที่ข้าพเจ้าในวัยเด็ก(อาจรวมถึงวัยนี้) เพียงได้ยินก็เบ้ปาก แล้วจะอ่านต่อให้ฟัง แทนที่ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำสั่งง่ายๆ(แต่ฝืนใจ)เหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเลือกทางที่ยากกว่า ข้าพเจ้ามักปีนป่ายขึ้นไปยังที่ซ่อน หยิบหนังสือเล่มนั้นมา และลงมืออ่านต่อเอง จากนิทานเล่มบางๆ ก็พัฒนาเป็นวรรณคดีเล่มหนาๆ รู้ตัวอีกทีข้าพเจ้าก็นึกรำคาญเสียงอ่านของใครหลายๆคนที่อ่านให้ฟัง ที่ไม่รวดเร็วทันใจของข้าพเจ้าที่อยากรู้ตอนต่อไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงรักที่จะอ่านหนังสือเองมานับแต่นั้น

กระทั่งวันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้รู้จักงานสัปดาห์หนังสือเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าก็พบว่าความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อหนังสือ ไม่ได้หยุดลงเพียงแค่การอ่านเท่านั้น ข้าพเจ้ารักที่จะมีหนังสือนั้นไว้ครอบครอง รักที่จะเลือกซื้อ รักที่จะมีหนังสือในห้องที่พร้อมจะหยิบขึ้นมาลูบคลำ พลิกอ่าน ได้ทุกครั้งที่ระลึกถึงข้อความในเล่มไหนๆก็ตาม(ที่ข้าพเจ้ามักจะจำได้แทบทุกเล่มที่ผ่านตา) นับตั้งแต่งานสัปดาห์หนังสือครั้งแรกนั้น ค่าใช้จ่ายของข้าพเจ้าในงานสัปดาห์หนังสือทุกๆปีก็พุ่งขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมากที่สุดถึงครึ่งหมื่น ในช่วง ๔-๕ปีก่อน ด้วยคำพูดคำเดียวของพ่อแม่ที่ฝังอยู่ในหัวตั้งแต่เด็กว่า หนังสือ ซื้อไปเถิด (แม้ว่าตอนนี้ท่านทั้ง ๒ จะเปลี่ยนมาห้ามแทนแล้วก็ตามแต่ข้าพเจ้ายึดคำสั่งแรกเป็นหลัก)

อย่างไรก็ตามเวลาผ่านมา งานสัปดาห์หนังสือกลับทำร้ายกระเป๋าเงินของข้าพเจ้าน้อยลงเรื่อยๆ ในช่วง ๒-๓ ปีมานี้ เช่นเดียวกับในวันนี้ ณ ร้านหนังสือ

ร้านหนังสือแห่งนี้เป็นร้านขนาดใหญ่ ที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีหนังสือทั้งไทยและต่างชาติให้เลือกซื้อหลากหลายกว่าร้านอื่นนัก ข้าพเจ้าพลิกบัตรเงินสดราคา ๕๐๐บาทไปมาในมือ ด้วยความอยากใช้อย่างเต็มที่ก่อนบัตรใบนี้จะมีค่าเทียบเท่ากระดาษเปล่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่หลังจากเดินจนทั่ว สุดท้ายข้าพเจ้าก็คงได้แต่รอเวลา รอเวลาที่จะมีหนังสือสักเล่มที่ข้าพเจ้าพอใจจะอ่าน

ด้วยความหงุดหงิด ข้าพเจ้ามองตามชั้นหนังสือไปพบเพียงหนังสือ How to (ซึ่งหากเสียเวลาGoogleสักนิดจะพบว่า เรื่องต่างๆนั้นมีสอนเกลื่อนกลาดInternet และหนังสือเหล่านั้นก็มิได้มีจุดขายที่ดีกว่าคำสอนตามเว็บบอร์ดเลย) หนังสือพัฒนาตนเอง (ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าคนคิดจะพัฒนาตนเองก็พัฒนาไปสิ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาบอก และผู้ที่อ่านหนังสือแนวนี้ข้าพเจ้าก็เห็นว่ารู้สึกไฟแรงอยู่ ๒-๓วันหลังหนังสือจบ แล้วมักกลับเป็นคนเดิมทั้งสิ้น) หนังสือนิยายท้องตลาด(หนังสือประเภทนี้ข้าพเจ้าเคยชอบมาก แต่หลังจากพบว่าหลังๆไม่ได้มีแง่มุมใดๆที่น่าสนใจแม้แต่น้อย นักเขียนขาดการค้นคว้า พล็อตเรื่องซ้ำซาก ทั้งยังเหมือนพยายามจะทำให้เยาวชนที่อ่านเสียนิสัยอีกหลายประการและเสียค่านิยมอันด้าพเจ้าก็เลือกที่จะไม่แตะ) นิยายแฟนตาซี(ที่ไร้ความสมจริงสักแต่ว่าเอาเรื่องนี้ผสมเรื่องนั้น โรงเรียนเวทมนตร์ ออนไลน์ ฯลฯ) หนังสือคำคม หรือรวมข้อความจากเพจต่างๆ (ราคาแพงกว่าหนังสือทั่วไป แต่เปิดมาแล้วทั้งเล่มน่าจะมีตัวหนังสือไม่ถึง ๑๐ หน้า A4) หนังสือจากนักเขียนชื่อดังหลายคน (ที่ข้าพเจ้าอ่านงานของคนเหล่านั้นมาคนละหลายสิบเล่ม จนรู้สึกเอียนกับวิธีการเขียนแล้ว เพราะหลายเล่มแรกก็น่าสนใจ แต่เมื่อเริ่มขายดีก็มักโดนสำนักพิมพ์รุมทึ้งให้ออกหนังสือมารัวๆจนหาอะไรสดใหม่ไม่ได้ สุดท้ายก็เหมือนอ่านหนังสือเรื่องเดิมในหัวข้อใหม่) และหนังสืออื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง

ยิ่งเดินผ่านชั้นพวกนี้ไปเท่าใด ข้าพเจ้ายิ่งหงุดหงิด จะมีหนังสือดีอยู่บ้างข้าพเจ้าก็มีไว้ครอบครองหมดแล้ว


ข้าพเจ้าจึงได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ข้าพเจ้าผู้รักการอ่านหนังสือ เสพติดการอ่านหนังสือ เคยซื้อหนังสือในร้านเดียวกับถึงสัปดาห์ละ ๓ เล่มเป็นปรกติ เมื่อ ๒-๓ปีก่อน มีเงินในมือที่จำเป็นต้องใช้ แต่กลับไม่สามารถหาหนังสืออ่านได้แม้แต่เล่มเดียว............ปัญหาคงอยู่ที่ตัวข้าพเจ้าผู้เลือกมาก กระมัง