นี่เป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่วันรับปริญญาเมื่อกลางปีที่แล้ว
ที่ข้าพเจ้าตัดสินใจเข้ามาเดินวนอยู่ภายในร้านเป็นเวลานาน เดินเลือกพลิกหนังสือทีละเล่ม
ทีละหมวดอย่างพยายามใจเย็น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด
ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากเท่านั้น...
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าจัดว่าเป็นบุคคลบ้าหนังสือ
บ้ามาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่แม่อ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่ยังเล็ก
และเมื่อเริ่มอ่านหนังสือเองออกแม่ก็จะเริ่มเลือกหนังสือที่มีเรื่องราวน่าติดตามมาอ่านให้ฟังเสมอ....และแม่ไม่เคยอ่านจบ
แม่มักหยุดอ่านหนังสือในตอนที่สนุกที่สุด
ทำเป็นนำหนังสือไปซ่อน(ในที่ที่ข้าพเจ้ามองเห็น) และบอกว่าถ้าเป็นเด็กดี
รับประทานผักผลไม้
และปฏิบัติตามคำสั่งอีกมากมายที่ข้าพเจ้าในวัยเด็ก(อาจรวมถึงวัยนี้)
เพียงได้ยินก็เบ้ปาก แล้วจะอ่านต่อให้ฟัง แทนที่ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำสั่งง่ายๆ(แต่ฝืนใจ)เหล่านั้น
ข้าพเจ้าจึงเลือกทางที่ยากกว่า ข้าพเจ้ามักปีนป่ายขึ้นไปยังที่ซ่อน
หยิบหนังสือเล่มนั้นมา และลงมืออ่านต่อเอง จากนิทานเล่มบางๆ
ก็พัฒนาเป็นวรรณคดีเล่มหนาๆ
รู้ตัวอีกทีข้าพเจ้าก็นึกรำคาญเสียงอ่านของใครหลายๆคนที่อ่านให้ฟัง ที่ไม่รวดเร็วทันใจของข้าพเจ้าที่อยากรู้ตอนต่อไปเสียแล้ว
ข้าพเจ้าจึงรักที่จะอ่านหนังสือเองมานับแต่นั้น
กระทั่งวันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้รู้จักงานสัปดาห์หนังสือเป็นครั้งแรก
ข้าพเจ้าก็พบว่าความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อหนังสือ
ไม่ได้หยุดลงเพียงแค่การอ่านเท่านั้น ข้าพเจ้ารักที่จะมีหนังสือนั้นไว้ครอบครอง
รักที่จะเลือกซื้อ รักที่จะมีหนังสือในห้องที่พร้อมจะหยิบขึ้นมาลูบคลำ พลิกอ่าน
ได้ทุกครั้งที่ระลึกถึงข้อความในเล่มไหนๆก็ตาม(ที่ข้าพเจ้ามักจะจำได้แทบทุกเล่มที่ผ่านตา)
นับตั้งแต่งานสัปดาห์หนังสือครั้งแรกนั้น ค่าใช้จ่ายของข้าพเจ้าในงานสัปดาห์หนังสือทุกๆปีก็พุ่งขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
จนมากที่สุดถึงครึ่งหมื่น ในช่วง ๔-๕ปีก่อน
ด้วยคำพูดคำเดียวของพ่อแม่ที่ฝังอยู่ในหัวตั้งแต่เด็กว่า หนังสือ ซื้อไปเถิด (แม้ว่าตอนนี้ท่านทั้ง
๒ จะเปลี่ยนมาห้ามแทนแล้วก็ตามแต่ข้าพเจ้ายึดคำสั่งแรกเป็นหลัก)
อย่างไรก็ตามเวลาผ่านมา งานสัปดาห์หนังสือกลับทำร้ายกระเป๋าเงินของข้าพเจ้าน้อยลงเรื่อยๆ
ในช่วง ๒-๓ ปีมานี้ เช่นเดียวกับในวันนี้ ณ ร้านหนังสือ
ร้านหนังสือแห่งนี้เป็นร้านขนาดใหญ่ ที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีหนังสือทั้งไทยและต่างชาติให้เลือกซื้อหลากหลายกว่าร้านอื่นนัก
ข้าพเจ้าพลิกบัตรเงินสดราคา ๕๐๐บาทไปมาในมือ
ด้วยความอยากใช้อย่างเต็มที่ก่อนบัตรใบนี้จะมีค่าเทียบเท่ากระดาษเปล่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แต่หลังจากเดินจนทั่ว สุดท้ายข้าพเจ้าก็คงได้แต่รอเวลา
รอเวลาที่จะมีหนังสือสักเล่มที่ข้าพเจ้าพอใจจะอ่าน
ด้วยความหงุดหงิด ข้าพเจ้ามองตามชั้นหนังสือไปพบเพียงหนังสือ How to (ซึ่งหากเสียเวลาGoogleสักนิดจะพบว่า เรื่องต่างๆนั้นมีสอนเกลื่อนกลาดInternet
และหนังสือเหล่านั้นก็มิได้มีจุดขายที่ดีกว่าคำสอนตามเว็บบอร์ดเลย) หนังสือพัฒนาตนเอง (ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าคนคิดจะพัฒนาตนเองก็พัฒนาไปสิ
ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาบอก
และผู้ที่อ่านหนังสือแนวนี้ข้าพเจ้าก็เห็นว่ารู้สึกไฟแรงอยู่ ๒-๓วันหลังหนังสือจบ
แล้วมักกลับเป็นคนเดิมทั้งสิ้น) หนังสือนิยายท้องตลาด(หนังสือประเภทนี้ข้าพเจ้าเคยชอบมาก
แต่หลังจากพบว่าหลังๆไม่ได้มีแง่มุมใดๆที่น่าสนใจแม้แต่น้อย นักเขียนขาดการค้นคว้า
พล็อตเรื่องซ้ำซาก ทั้งยังเหมือนพยายามจะทำให้เยาวชนที่อ่านเสียนิสัยอีกหลายประการและเสียค่านิยมอันด้าพเจ้าก็เลือกที่จะไม่แตะ)
นิยายแฟนตาซี(ที่ไร้ความสมจริงสักแต่ว่าเอาเรื่องนี้ผสมเรื่องนั้น
โรงเรียนเวทมนตร์ ออนไลน์ ฯลฯ) หนังสือคำคม หรือรวมข้อความจากเพจต่างๆ
(ราคาแพงกว่าหนังสือทั่วไป แต่เปิดมาแล้วทั้งเล่มน่าจะมีตัวหนังสือไม่ถึง ๑๐ หน้า A4) หนังสือจากนักเขียนชื่อดังหลายคน (ที่ข้าพเจ้าอ่านงานของคนเหล่านั้นมาคนละหลายสิบเล่ม จนรู้สึกเอียนกับวิธีการเขียนแล้ว เพราะหลายเล่มแรกก็น่าสนใจ แต่เมื่อเริ่มขายดีก็มักโดนสำนักพิมพ์รุมทึ้งให้ออกหนังสือมารัวๆจนหาอะไรสดใหม่ไม่ได้ สุดท้ายก็เหมือนอ่านหนังสือเรื่องเดิมในหัวข้อใหม่) และหนังสืออื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง
ยิ่งเดินผ่านชั้นพวกนี้ไปเท่าใด ข้าพเจ้ายิ่งหงุดหงิด
จะมีหนังสือดีอยู่บ้างข้าพเจ้าก็มีไว้ครอบครองหมดแล้ว
ข้าพเจ้าจึงได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
ข้าพเจ้าผู้รักการอ่านหนังสือ เสพติดการอ่านหนังสือ เคยซื้อหนังสือในร้านเดียวกับถึงสัปดาห์ละ ๓ เล่มเป็นปรกติ เมื่อ ๒-๓ปีก่อน มีเงินในมือที่จำเป็นต้องใช้
แต่กลับไม่สามารถหาหนังสืออ่านได้แม้แต่เล่มเดียว............ปัญหาคงอยู่ที่ตัวข้าพเจ้าผู้เลือกมาก
กระมัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น