วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

ในอาณาจักรร้านหนังสือ

นี่เป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่วันรับปริญญาเมื่อกลางปีที่แล้ว ที่ข้าพเจ้าตัดสินใจเข้ามาเดินวนอยู่ภายในร้านเป็นเวลานาน เดินเลือกพลิกหนังสือทีละเล่ม ทีละหมวดอย่างพยายามใจเย็น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากเท่านั้น...

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าจัดว่าเป็นบุคคลบ้าหนังสือ บ้ามาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่แม่อ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่ยังเล็ก และเมื่อเริ่มอ่านหนังสือเองออกแม่ก็จะเริ่มเลือกหนังสือที่มีเรื่องราวน่าติดตามมาอ่านให้ฟังเสมอ....และแม่ไม่เคยอ่านจบ

แม่มักหยุดอ่านหนังสือในตอนที่สนุกที่สุด ทำเป็นนำหนังสือไปซ่อน(ในที่ที่ข้าพเจ้ามองเห็น) และบอกว่าถ้าเป็นเด็กดี รับประทานผักผลไม้ และปฏิบัติตามคำสั่งอีกมากมายที่ข้าพเจ้าในวัยเด็ก(อาจรวมถึงวัยนี้) เพียงได้ยินก็เบ้ปาก แล้วจะอ่านต่อให้ฟัง แทนที่ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำสั่งง่ายๆ(แต่ฝืนใจ)เหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเลือกทางที่ยากกว่า ข้าพเจ้ามักปีนป่ายขึ้นไปยังที่ซ่อน หยิบหนังสือเล่มนั้นมา และลงมืออ่านต่อเอง จากนิทานเล่มบางๆ ก็พัฒนาเป็นวรรณคดีเล่มหนาๆ รู้ตัวอีกทีข้าพเจ้าก็นึกรำคาญเสียงอ่านของใครหลายๆคนที่อ่านให้ฟัง ที่ไม่รวดเร็วทันใจของข้าพเจ้าที่อยากรู้ตอนต่อไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงรักที่จะอ่านหนังสือเองมานับแต่นั้น

กระทั่งวันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้รู้จักงานสัปดาห์หนังสือเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าก็พบว่าความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อหนังสือ ไม่ได้หยุดลงเพียงแค่การอ่านเท่านั้น ข้าพเจ้ารักที่จะมีหนังสือนั้นไว้ครอบครอง รักที่จะเลือกซื้อ รักที่จะมีหนังสือในห้องที่พร้อมจะหยิบขึ้นมาลูบคลำ พลิกอ่าน ได้ทุกครั้งที่ระลึกถึงข้อความในเล่มไหนๆก็ตาม(ที่ข้าพเจ้ามักจะจำได้แทบทุกเล่มที่ผ่านตา) นับตั้งแต่งานสัปดาห์หนังสือครั้งแรกนั้น ค่าใช้จ่ายของข้าพเจ้าในงานสัปดาห์หนังสือทุกๆปีก็พุ่งขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมากที่สุดถึงครึ่งหมื่น ในช่วง ๔-๕ปีก่อน ด้วยคำพูดคำเดียวของพ่อแม่ที่ฝังอยู่ในหัวตั้งแต่เด็กว่า หนังสือ ซื้อไปเถิด (แม้ว่าตอนนี้ท่านทั้ง ๒ จะเปลี่ยนมาห้ามแทนแล้วก็ตามแต่ข้าพเจ้ายึดคำสั่งแรกเป็นหลัก)

อย่างไรก็ตามเวลาผ่านมา งานสัปดาห์หนังสือกลับทำร้ายกระเป๋าเงินของข้าพเจ้าน้อยลงเรื่อยๆ ในช่วง ๒-๓ ปีมานี้ เช่นเดียวกับในวันนี้ ณ ร้านหนังสือ

ร้านหนังสือแห่งนี้เป็นร้านขนาดใหญ่ ที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีหนังสือทั้งไทยและต่างชาติให้เลือกซื้อหลากหลายกว่าร้านอื่นนัก ข้าพเจ้าพลิกบัตรเงินสดราคา ๕๐๐บาทไปมาในมือ ด้วยความอยากใช้อย่างเต็มที่ก่อนบัตรใบนี้จะมีค่าเทียบเท่ากระดาษเปล่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่หลังจากเดินจนทั่ว สุดท้ายข้าพเจ้าก็คงได้แต่รอเวลา รอเวลาที่จะมีหนังสือสักเล่มที่ข้าพเจ้าพอใจจะอ่าน

ด้วยความหงุดหงิด ข้าพเจ้ามองตามชั้นหนังสือไปพบเพียงหนังสือ How to (ซึ่งหากเสียเวลาGoogleสักนิดจะพบว่า เรื่องต่างๆนั้นมีสอนเกลื่อนกลาดInternet และหนังสือเหล่านั้นก็มิได้มีจุดขายที่ดีกว่าคำสอนตามเว็บบอร์ดเลย) หนังสือพัฒนาตนเอง (ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าคนคิดจะพัฒนาตนเองก็พัฒนาไปสิ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาบอก และผู้ที่อ่านหนังสือแนวนี้ข้าพเจ้าก็เห็นว่ารู้สึกไฟแรงอยู่ ๒-๓วันหลังหนังสือจบ แล้วมักกลับเป็นคนเดิมทั้งสิ้น) หนังสือนิยายท้องตลาด(หนังสือประเภทนี้ข้าพเจ้าเคยชอบมาก แต่หลังจากพบว่าหลังๆไม่ได้มีแง่มุมใดๆที่น่าสนใจแม้แต่น้อย นักเขียนขาดการค้นคว้า พล็อตเรื่องซ้ำซาก ทั้งยังเหมือนพยายามจะทำให้เยาวชนที่อ่านเสียนิสัยอีกหลายประการและเสียค่านิยมอันด้าพเจ้าก็เลือกที่จะไม่แตะ) นิยายแฟนตาซี(ที่ไร้ความสมจริงสักแต่ว่าเอาเรื่องนี้ผสมเรื่องนั้น โรงเรียนเวทมนตร์ ออนไลน์ ฯลฯ) หนังสือคำคม หรือรวมข้อความจากเพจต่างๆ (ราคาแพงกว่าหนังสือทั่วไป แต่เปิดมาแล้วทั้งเล่มน่าจะมีตัวหนังสือไม่ถึง ๑๐ หน้า A4) หนังสือจากนักเขียนชื่อดังหลายคน (ที่ข้าพเจ้าอ่านงานของคนเหล่านั้นมาคนละหลายสิบเล่ม จนรู้สึกเอียนกับวิธีการเขียนแล้ว เพราะหลายเล่มแรกก็น่าสนใจ แต่เมื่อเริ่มขายดีก็มักโดนสำนักพิมพ์รุมทึ้งให้ออกหนังสือมารัวๆจนหาอะไรสดใหม่ไม่ได้ สุดท้ายก็เหมือนอ่านหนังสือเรื่องเดิมในหัวข้อใหม่) และหนังสืออื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง

ยิ่งเดินผ่านชั้นพวกนี้ไปเท่าใด ข้าพเจ้ายิ่งหงุดหงิด จะมีหนังสือดีอยู่บ้างข้าพเจ้าก็มีไว้ครอบครองหมดแล้ว


ข้าพเจ้าจึงได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ข้าพเจ้าผู้รักการอ่านหนังสือ เสพติดการอ่านหนังสือ เคยซื้อหนังสือในร้านเดียวกับถึงสัปดาห์ละ ๓ เล่มเป็นปรกติ เมื่อ ๒-๓ปีก่อน มีเงินในมือที่จำเป็นต้องใช้ แต่กลับไม่สามารถหาหนังสืออ่านได้แม้แต่เล่มเดียว............ปัญหาคงอยู่ที่ตัวข้าพเจ้าผู้เลือกมาก กระมัง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น