วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าว่าด้วยไกด์ผู้น่ารัก ณ แดนอาทิตย์อุทัย 3

ก่อนอ่านติดตามความเดิมสองตอนที่แล้วก่อนนะคะจิ้มที่นี่เลยเพราะบทนี้เราจะเริ่มความ่าประการที่ 5 ของไกด์ผู้่า


ณ หมู่บ้านนินจา สถานที่เที่ยวแรก ณ กรุงเกียวโต

ใครที่เคยไปคงพอรู้ว่าหมู่บ้านนินจาแห่งนี้มีทางเดินแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกขึ้นเนินเตี้ยๆ(ทางไม่ค่อยเด่น) ไปยังพิพิธภัณฑ์และส่วนแสดงโชว์นินจา และทางเดินยิ่งใหญ่อลังการขึ้นเขาสูงชัน(สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยผู้บอบบางต่อแหล่งท่องเที่ยวใดๆ ยกเว้นแหล่งShopping)

ตามโปรแกรมทัวร์นั้นทัวร์ของข้าพเจ้าควรจะไปชมโชว์นินจาสวยๆ ก่อนเดินเล่นในหมู่บ้านนินจา(รวมถึงทางขึ้นเขาสูงนั่นด้วยเพื่อชมสวนซากุระ อย่างไรก็ดีด้วยความ่าของไกด์ผู้่าของเราทำให้แผนการไม่เป็นอย่างนั้น

5. ทันทีี่รถทัวร์จอด ณ ที่จอดรถ ไกด์ผู้่าของที่ยังมิได้อธิบายแม้แต่น้อยว่าทางเดินในหมู่บ้านนินจาแห่งนี้แยกอย่างไร ไปทางไหน ก็แสดงวิชานินจาให้ลูกทัวร์ดูสมกับการเป็นหมู่บ้านนินจาในทันที ด้วยการหายตัวไปโดยพร้อมเพรียงกันทั้ง 3 คน 

ลูกทัวร์ผู้งุนงงทั้งหลายจึงได้แต่เดินกันเองตามบุญตามกรรม ถ่ายรูปบ้างะไรบ้างไปเรื่อย และแล้วเราก็มาถึงทางแยกที่ต้องเลือกว่าจะเดินไปข้างไหน

ระหว่างทางเล็กๆ กับ ทางยิ่งใหญ่อลังการ แน่นอนว่าลูกทัวร์แทบทุกคนทั้งเด็กทั้งแก่ก็พากันลัดเลาะขึ้นเขาไปพบกับปราสาทหลังงามท่ามกลางหมู่ต้นซากุระที่กำลังเบ่งบานประหนึ่งเป็นของขวัญจากการปีนป่ายอันเหน็ดเหนื่อย


คนทั้งหลายที่มาจากประเทศเขตร้อนจึงเริ่มชักภาพกับดอกซากุระกันอย่างบ้าคลั่งได้เพียง.... 5 นาทีเศษ ไกด์ผู้่าหมายเลข 2 จึงคลายมนต์แฝงตัวแล้ววิ่งกระหืดกระหอบตามมา....พร้อมบอกว่า ท่านทั้งหลาย ท่านมาผิดทาง!!! เชิญไต่ลงเขากลับไปโดยด่วนเดี๋ยวค่อยมาถ่ายรูปโชว์จะเริ่มแล้ววววว 

ลูกทัวร์ทั้งหลายที่อุตส่าห์กระเสือกกระสนขึ้นเขามาจึงต้องรีบล่าถอยลงจากเขา บอกลาภาพที่สวยงามเบื้องหน้า พร้อมทั้งพึมพำกับตัวเองว่า ใครปีนขึ้นมาอีกรอบก็....เกินไปแล้ว หลังดูโชว์เสร็จเหลือเวลาอีก 10 กว่านาทีเนี่ยนะ ไต่มาถึงตีนเขาก็เป็นลมแล้วมั้ง

สุดท้ายทุกคนเลยได้ชมทิวทัศน์อันงดงามเป็นเวลานาน 5 นาทีเศษ และทำใจไปดูโชว์นินจาต่อ ซึ่งระหว่างโชว์นินจานี้ จะไม่เหมือนโชว์ของฮอกไกโด ที่ฮอกไกโดโชว์นินจาจะมีลักษณะเป็นเรื่องราว แต่ของที่นี่ จะเป็นลักษณะนินจาออกมาอธิบายวิธีการใช้อาวุธต่างๆ ก่อนแสดงตัวอย่างให้ดู อันนำมาซึ่งความ่าลำดับที่ 6 จากไกด์ของเรา

6. ระหว่างที่โชว์นินจาดำเนินไป เหล่านินจาผู้เริงร่าท่ามกลางกองอาวุธก็อธิบายการใช้อาวุธอย่างเมามันส์ ท่ามกลางเสียงฮือฮาระหว่างการสาธิตจากเหล่าทัวร์ไทยที่กำลังชมอยู่ แต่......................ระหว่างการอธิบายด้วยน้ำเสียงประหนึ่งเดี่ยวไมโครโฟนนั้น กลับเงียบสนิท แน่นอน พวกเรามีไม่ถึง 2 คนที่ฟังภาษาญี่ปุ่นออก (ที่บอกมีไม่ถึง 2 คนเพราะมีป้าคนหนึ่งฟังออก และ มีข้าพเจ้าที่มีเศษเสี้ยวภาษาญี่ปุ่นเล็กๆที่แทบไม่อาจเรียกได้ว่ารู้อยู่ในหัว) ทั้งหมดที่ผ่านมา.............ไร้คำแปลจากไกด์!!! 

ความรู้สึกของลูกทัวร์คงอารมณ์เหมือนยกฝรั่งมาสัก 1 คันรถเข้าไปไว้ในรอบแสดงสดของเดี่ยวไมโครโฟน แสดงดีให้ตายมันก็ไม่ฮา.........ก็ตูฟังไม่ออก โว้ยยยยยยยยย ทำไมไม่แปล!!! ่ามากกกกกกกกก

หลังจากโดนเขม่นอยู่เกือบ 3/4 ของโชว์คุณไกด์1 ก็เหมือนจะเพิ่งระลึกได้ว่าตนเองไม่ได้มีหน้าที่มาฟังเฮฮาแต่เพียงผู้เดียว แต่มีหน้าที่แปล จึงเริ่มแปล (อย่างไม่เชี่ยวและไม่ต่อเนื่องอย่างแรง) ทำให้การแสดงนั้นลุล่วงไปด้วยดี (??)

พูดถึงแต่ ไกด์1 เพราะนางเป็นคนที่ทำอะไรมากที่สุดเลยมีวีรกรรมความ่ามากที่สุดในขณะที่ ไกด์ 2 และ ไกด์ 3 น่ะหรือ

7. ไกด์ 2 และ ไกด์ 3 นางเป็นไกด์หญิงที่แต่งตัวจัดเต็มตามสไตล์ของตนเองตลอดทริป ในมือถือกล้องถ่ายรูปคนละตัว ผลัดกันSelfie ผลัดกันถ่ายให้กันบ้างอย่างสนุกสนาน เมื่อถึงแหล่งShoppingทั้งหลาย นางทั้งสองจะหายไปอย่างรวดเร็วและกลับมาแทบจะคนสุดท้ายพร้อมถุงขนาดมหึมาเสมอ เมื่อถามข้อมูลใดๆ (เช่นตารางของวันถัดไป หรือนัดหมายกันตอนนี้) นางก็จะไม่รู้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ได้แต่ตอบว่า เดี๋ยวถาม ไกด์ 1 ให้นะคะ

จนข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจว่า นี่ข้าพเจ้ามีไกด์ถึง 3 คน หรือจริงๆ มีลูกทัวร์พิเศษเพิ่มมาอีก 2 คนกันแน่.........

อย่าเพิ่งคิดว่าความ่าของไกด์ทั้งหลายจะจบลงแต่เพียงเท่านี้.......ซีรี่ส์นี้ยังไม่จบง่ายๆ แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไป



ด้วยรัก และรูปที่ถ่ายได้ใน 5 นาทีนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าว่าด้วยไกด์ผู้น่ารัก ณ แดนอาทิตย์อุทัย 2

ความเดิมตอนที่แล้ว....

ไม่รู้จะมีไปทำไม ย้อนกลับไปอ่านเองสิ จิ้มที่นี่เลย



วินาทีที่ข้าพเจ้าเหยียบแดนอาทิตย์อุทัย ข้าพเจ้าก็รู้สึกเบิกบานใจเป็นกำลัง เพราะอากาศที่หนาวเย็นกว่าที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากฝนตกในคืนก่อนไป อากาศที่ควรจะขึ้นเป็น 10กว่าองศา ปลายๆเกือบ 20 จึงลดฮวบฮาบลงมาอยู่ที่เลขตัวเดียวอย่างสมใจ(ไม่ใช่ร้านเครื่องเขียน)

ทุกคนเดินวนเวียนสับสนผ่าน ต.ม.เข้าเมืองมาตามปกติกระทั่งตามๆกันมาขึ้นรถทัวร์ ทำให้ข้าพเจ้า(เพิ่งรู้เพราะตามเขามาคนอื่นในบริษัทเขาก็รู้อยู่แล้ว) เพิ่งรู้ว่าทัวร์ของเราเป็นทัวร์ขนาดใหญ่มหึมาระดับต้องใช้รถทัวร์ 2 คันเลยทีเดียว (โปรแกรมเกือบเหมือนกันแต่เที่ยวแยกกันแทบจะอิสระเพราะนอนกันคนละที่ จ่ายไม่เท่ากัน)

ข้าพเจ้าได้นั่งรถบัสคันที่ 1 ที่เป็นรถผู้บริหาร(เพราะเพื่อนสนิทพ่อที่ชวนมาเป็นผู้บริหาร) ข้อความตรงนี้เสริมเผื่อใครคิดว่าอ่อระดับกากๆเขาเลยไม่เกรงใจเลยได้รับการบริการอย่าง่ารึเปล่า อะไรงี้

หลังจากทุกคนขึ้นรถเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ล้อก็เริ่มหมุน การเดินทางของเราเริ่มขึ้น ณ เวลานี้ พร้อมๆ กับ ความน่ารักข้อที่ 3

เป็นธรรมดาที่เมื่อไปเที่ยว ไกด์ทัวร์มักมี 2 คน คนหนึ่งเป็นหัวหน้าทัวร์คุมลูกทัวร์อำนวยความสะดวกมาจากไทย ส่วนอีกคนมักเป็นไกด์ท้องถิ่นที่รู้ภาษาไทย(แต่ข้าพเจ้าก็เคยเจอบ้างที่สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ) อย่างไรก็ตามสมัยนี้ คนไทยมีความสามารถด้านภาษามากขึ้น บางครั้งเมื่อไปประเทศอย่างญี่ปุ่นที่ไม่ได้มีข้อบังคับว่าต้องมีไกด์ท้องถิ่น เราก็จะพบว่าไกด์ไทยเหมารวบดูแลลูกทัวร์เองเลยก็มี

ทันทีที่ขึ้นรถทัวร์ ไกด์ผู้่าของเราก็เริ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าไกด์ของรถบัสคันที่ 1 นี้ ไม่ได้มีเพียง 2 คน แต่มีถึง 3 คนด้วยกัน

ไกด์คนที่หนึ่งเป็นผู้ชายเขาแนะนำตัวด้วยภาษาไทยที่ดูเหมือนจะติดสำเนียงญี่ปุ่นที่ฟังยากและน่ารำคาญหูมากสำหรับคนที่เรียนด้านภาษาไทยอย่างข้าพเจ้า กระนั้นข้าพเจ้าก็ใช้ความเป็นนักเรียนมนุษยศาสตร์ซึ่งควรเข้าใจมนุษย์ทำใจยอมรับและให้อภัยว่า เมื่อข้าพเจ้าพูดญี่ปุ่นคนญี่ปุ่นก็รำคาญข้าพเจ้าแบบนี้เช่นกันแหละ เขาแนะนำตัวว่าเขาเป็นผู้ดูแลทัวร์ครั้งนี้

ไกด์คนที่สองเป็นผู้หญิงเธอแนะนำตัวอย่างธรรมดาดาดๆ ไม่มีอะไร



3. ไกด์คนที่สามมีสไตล์การแต่งตัวเป็นสาวห้าวแต่ไม่ถึงขั้นทอมบอย อายุของนางดูไม่มากนัก ดูคล้ายเด็กมหาลัย หรือ อย่างมากก็เพิ่งจบ(ข้าพเจ้ามารู้ทีหลังในวันกลับว่านางอายุเท่าข้าพเจ้าเป๊ะ)นางจับไมค์ขึ้นมาและบรรจงพูดกรอกลงไปในไมค์ว่า "เราชื่อ... ถ่ายรูปสวย เรียกเราถ่ายรูปได้" จบประโยคของนางข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมองหน้านางให้ชัดอีกที สรรพนามที่ไกด์อีก2 คนเรียกลูกทัวร์ เขาและเธอใช้เรียกว่า "ท่าน" เพราะในรถทัวร์คันนี้ล้วนเป็นผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีตำแหน่งสูงมากของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยและครอบครัว และถึงแม้จะไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง แต่คนส่วนมากบนรถคันนี้ก็มีอายุเป็นพ่อเป็นแม่นางได้ทั้งนั้น (อย่างน้อยก็พ่อแม่ข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าอายุเท่านางเป๊ะ) 

(ต่อจากนี้จะเรียกทั้งสามว่า ไกด์ 1 ไกด์ 2 และ ไกด์ 3)

เวลาผ่านไปไกด์ทั้งสองนางก็ช่วย แจกอาหารเช้า ตามที่ไกด์1 สั่ง แล้วไกด์1 ก็พยายามเอนเตอร์เทนลูกทัวร์ผู้ไม่ได้นอนบนเครื่องทั้งคืนและพยายามข่มตาหลับระหว่างการเดินทางข้ามเมืองอันยาวนาน จากสนามบินไปแหล่งท่องเที่ยวแรก หมู่บ้านนินจา ไปเรื่อยๆ ความ่า ข้อ4 มาเกิด เมื่อระหว่างนั้น ไกด์1 หันไปพูดกับ คนขับรถ

4. ไกด์1 หันไปถามทางคนขับรถและโฟ่วกับคนขับรถ ตามที่ไกด์อันดีงามควรกระทำเพื่อจะแจ้งลูกทัวร์อย่างถูกต้องว่าพวกเราจะมีเวลาพักผ่อน(??) นานแค่ไหนกว่าจะถึงที่หมาย ความน่ารักมาเกิดก็เพราะ ทันทีที่นางเปิดปากพูดภาษาญี่ปุ่น กับคนญี่ปุ่นแท้ๆ

การสนทนาโต้ตอบไปมาสะดุดหูข้าพเจ้าเด็กอักษรผู้มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นเท่าหางอึ่งแต่คุ้นเคยกับสำเนียง ทั้งจากที่เคยเรียน(เท่าหางอึ่ง) เพื่อนๆในคณะ และสื่ออีกหลากหลาย(เช่นการติดอนิเมะอย่างหนัก) รวมไปถึงการเคยมาประเทศญี่ปุ่นหลายครั้ง 

ข้าพเจ้าตระหนักในทันทีว่า ภาษาญี่ปุ่นที่ไกด์ผู้นี้พูด เป็นสำเนียงไทยแท้ไม่มีญี่ปุ่นปนเปื้อนแม้สักกระผีกเดียว(และจากการพยายามคิดบวกตลอดทริปและพยายามเช็คแล้ว พบว่านางเป็นคนไทยแท้) แล้วภาษาไทยสำเนียงป่วยๆของนางนั่นคืออะไร 

ข้าพเจ้าแทบกรี๊ดออกมาว่า นี่ตู เด็ก เอก ไทย ผู้รำคาญพวกพูดไม่ชัดอย่างถึงที่สุดต้องทนฟังแบบนี้ไปตลอดทริปเลยหรือนี่ น่าซึ้งใจยิ่งนัก

ในเคสนี้ เรื่อง ร และ ล ไม่ต้องพูดถึง .....คำอื่นทั้งหมดเพี้ยนหมด เพี้ยนแบบไม่ใช้ภาษาถิ่นภาคไหนในไทยแน่ๆ และเมื่อค้นพบแล้วว่านางไม่ใช่คนญี่ปุ่น นั่นไม่ได้เพี้ยนสำเนียงญี่ปุ่นด้วย ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนญี่ปุ่นที่รู้ภาษาไทยหลายคน และไม่มีใครพูดเพี้ยนสำเนียงแบบนี้

และยิ่งไปกว่านั้นไกด์1 ไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องสำเนียงเพียงอย่างเดียว ภาษาไทยของไกด์1 ยังอ่อนแอทั้งด้านการเลือกใช้ศัพท์ คลังคำศัพท์ที่มี จากทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจผิดอย่างจังว่าเขาคนนี้ไม่ใช่คนไทย เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาขนาดไกด์ท้องถิ่นหลายคนพูดภาษาไทยได้ดีกว่าเขาคนนี้เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อรวมกันความน่ารักด้านอื่นๆที่จะกล่าวถึงในอนาคตแล้วทำให้เกินทนทานได้จริงๆ

ข้าพเจ้ามิได้ขอให้ทุกคนในโลกพูดภาษาแม่ของตัวเองอย่างชัดเจน แต่อย่างน้อยที่สุด คนที่ต้องทำงานเรื่องการพูดโดยเฉพาะ อย่าง วิทยากร ไกด์ ครู นักข่าว พิธีกร ช่วยออกเสียงให้ชัดได้ไหม หรืออย่างน้อยคนที่ทำงานสื่อสารกับคนเช่นนี้ก็ควรใช้ภาษาไทยให้ดี

เห็นไหมคะ นี่ขนาดยังไม่ได้เหยียบที่เที่ยวที่แรก...ความ่าของทีมงานของเรายังมีให้เวิ่นเว้อได้ยาวจนควรแก่การตัดตอน เพราะมิฉะนั้นท่านผู้อ่านคงจะเกิดอาการ "ยาวไปไม่อ่าน" เป็นแน่

ติดตามชมตอนต่อไป....นะคะ



ด้วยรัก

ป.ล. อย่างที่หลายท่านอาจสังเกตแล้ว ข้าพเจ้าลงชื่อด้วยลิงค์ไปยังเพจของข้าพเจ้าทุกครั้ง ดังนั้นหากท่านใดไม่ได้เห็นบล็อกนี้จากเพจ รบกวนจิ้มไลค์เบาๆเป็นกำลังใจนะคะ


เรื่องเล่าว่าด้วยไกด์ผู้น่ารัก ณ แดนอาทิตย์อุทัย

บอกไว้เสียก่อนว่าผู้เขียนเป็นมนุษย์เวิ่นเว้อชอบลงรายละเอียด ดังนั้นใครขี้เกียจอ่านน้ำ อยากอ่านเนื้อเน้นๆ ให้อ่านที่มี เลขข้อ นะคะ

ขึ้นชื่อว่าการไปท่องเที่ยว ณ ต่างแดน คนเราย่อมมีทางเลือกหลากหลาย ผู้ที่มีความรู้ด้านภาษาพอใจจะหาข้อมูลและท่องเที่ยวด้วยตนเองก็จะเลือกเดินทางเอง อาจไปคนเดียวเป็นกลุ่มเล็กๆ วางแผนเองเพื่อความสบายใจ 

หากแต่หลายคน กลับเลือกที่จะใช้บริการที่สะดวกสบายกว่า ไม่ว่าจะเป็นการจัดการที่ทำให้เสร็จสรรพตั้งแต่ขอวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม วางแผนเดินทาง รวมถึงมียานพาหนะให้ ใช่แล้วค่ะ การเดินทางกับบริษัททัวร์นั่นเอง

อ๋อ... ลืมเขียนถึงไปอีกอย่างสินะ ไปเที่ยวกับทัวร์จะขาด คนนี้ไปได้อย่างไร ผู้นำเที่ยว หรือ ไกด์ ผู้มีหน้าที่คาบเกี่ยวระหว่างอำนวยความสะดวกให้ลูกทัวร์ บอกเล่าเรื่องราวของสถานที่เที่ยว รวมถึงไปให้ความบันเทิงระหว่างเดินทาง

วันนี้จะมาเล่าถึง ไกด์ผู้่า ที่ข้าพเจ้าประสบมาระหว่างเดินทางท่องเที่ยว ณ แดนอาทิตย์อุทัย



ออกตัวก่อนว่าอ่านจบหลายคนคงด่าว่าทำไมไม่ไปเที่ยวเอง ปกตินี่เที่ยวเองค่ะ ไม่ก็เจอไกด์ที่โอเค คุยกันได้ ไม่มีปัญหา ไม่ได้คาดหวังบริการ 100% perfectมอบโล่ แต่คาดหวังว่า ควรได้อะไรสักอย่างจากไกด์บ้าง

เรื่องของเราเริ่มขึ้นนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบสนามบิน

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบเดือนก่อน ขณะที่พ่อตัดสินใจว่าเราจะไปท่องเที่ยวกัน โดยครั้งนี้พวกเราได้ติดสอยห้อยตามไปกับการท่องเที่ยวระหว่างวันหยุดของบริษัทเพื่อนพ่อ ที่จัดให้พนักงาน (ในขณะที่เราเสียเงินไป) วันนั้นพ่อกำชับให้แม่โทรติดต่อบริษัททัวร์ด้วยตนเอง เพราะว่า พ่อเป็นคนที่เมาเครื่องบินง่ายมาก ไม่สามารถนั่งหลังเครื่องได้ อย่างมากคือนั่งตอนกลางของเครื่องบิน(ซึ่งก็จะเมานิดๆอยู่ดี)


แม่แจ้งบริษัททัวร์ว่าช่วยแจ้งสายการบินให้ด้วย ว่าขอนั่งหน้าเป็นพิเศษ 1 คน นั่งแยกกับคนอื่นก็ได้ไม่เป็นไร เพราะมีอาการเมาเครื่อง ด้วยประสบการณ์หลังจากวันนั้นแม่จึงย้ำกับบริษัททัวร์อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนจ่ายเงินตอนมารับพาสปอร์ต และตอนติดต่อกันเรื่องอื่นๆ

กลับมาที่วินาทีที่เหยียบสนามบิน พวกเราขนกระเป๋าเริงร่าเข้าไปยังหน้าจุดเช็คอินเพื่อพบไกด์ผู้่ายืนยิ้มหน้าระรื่นต้อนรับอยู่ 2 นาง นางทั้งสองแจกซองพลาสติกให้ 1 ซองตามหน้าที่

บริษัททัวร์นี้ก็เหมือนบริษัททัวร์อื่นๆที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกทัวร์เป็นอย่างดีด้วยการจัดซองพลาสติกใส่พลาสปอร์ต ใบเข้าเมือง(ที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยเว้นไว้แต่ช่องลายเซ็น) และ ข้อมูลลายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการเดินทางพร้อมปากกา 1 ด้ามให้ (จำซองนี้ดีๆนะคะ)

ด้วยความที่พวกเราไปค่อนข้างเร็วกว่าเวลานัด ไกด์ผู้่าจึงพาไปที่จุดเช็คอินก่อน เพื่อจะได้เข้าไปเพลิดเพลินละลายทรัพย์กับร้านค้าภายในDuty Freeได้อย่างเต็มที่ ปรากฏว่าเมื่อไปถึงเคาน์เตอร์เช็คอินเราก็พบกับความจริงประการแรก จากเจ้าหน้าที่สนามบินที่ว่า

1. ที่นั่งของพวกเราทั้ง 4 ชีวิต ได้ที่นั่งงดงาม ติดกัน 4 คนสามารถพูดคุยได้สะดวก....แต่........อยู่แถว "หลังสุด" ติดหางเครื่องบิน เมื่อสอบถามว่าที่ขอไปแล้วและย้ำหลายรอบเกิดอะไรขึ้น ไกด์ผู้น่ารัก ทำหน้าช่วยไม่ได้จากนั้นก็เฟดตัวไปหาลูกทัวร์คนอื่นอย่างรวดเร็ว 

หลังจากพ่อข้าพเจ้าเจรจากับเจ้าหน้าที่สนามบินอยู่สักพัก พ่อก็ได้ที่นั่งข้างหน้ามาอย่างงดงาม ถือเป็นการใช้ความสามารถของตัวเองที่เคยเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆล้วนๆ ซึ่งก็...รู้สึกตะหงิดๆเล็กน้อยว่าแจ้งไปหลายรอบแล้วทำไมบริษัทไม่จัดให้ตั้งแต่จองตั๋ว อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกว่าคนเราผิดพลาดกันได้ และปล่อยผ่านเพราะไม่อยากเก็บเป็นอารมณ์ให้เสียฟีลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเที่ยว

พักโฆษณาเล็กน้อย เสื้อตัวนี้ขายนะคะมีปีกสีขาวกะปีกสีดำค่ะ


เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีจากจุดเช็คอินและโหลดกระเป๋า ด่านต่อไปที่เราท่านทราบกันดีคือ ต.ม. หรือจุกเช็คคนออกจากเมืองนั่นเอง เป็นจุดที่เราท่านจะต้องไปเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจเช็คเอกสารออกนอกประเทศ (ที่สามารถรับไปกรอกได้แถวๆที่เช็คอิน หรือ ถ้าเป็นบริษัททัวร์ก็จะกรอกมาให้แล้วอย่างสวยงาม อยู่ในซองพลาสติก จำกันได้ไหมคะ) มองกล้องเล็กน้อย แล้วผ่านไปได้

หรือสมัยนี้ก็มีนวัตกรรมใหม่ที่ทำร้ายคนไร้รอยนิ้วมือเช่นข้าพเจ้าอย่างมาก คือ เครื่องตรวจคนออกอันโนมัติ ที่เอาพาสปอร์สใส่เข้าไป มองกล้องเล็กน้อย ปั๊มนิ้วมือแล้วก็ผ่านไปได้

ก่อนเดินไปถึงจุดนั้น เราก็ได้พบ ไกด์ผู้่าก อีกครั้งที่มาเตือนว่า อย่าShopเพลินจนลืมขึ้นเครื่องนะเราท่าน แล้วอีกอย่าง เอกสารกรอกไว้ให้เรียบร้อยแล้ว งดงาม อย่าลืมเซ็นชื่อด้วย ไฮไลท์ไว้แล้ว ตรงไหนไม่ไฮไลท์อย่าไปแตะมันนะ เรื่องที่ 2 ของเราเริ่มขึ้นตรงนี้

2. เนื่องด้วยความไร้รอยนิ้วมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจำต้องไปพบปะเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง แทนที่จะตรวจด้วยเครื่องอัตโนมัติ ข้าพเจ้ายื่นพาสปอร์ตและใบออกนอกเมืองให้เจ้าหน้าที่พร้อมยิ้มหวาน 1 ครั้ง ตามสไตล์คนเดินทางบ่อยแบบ ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่ ทันใดนั้น....

"น้องครับ กรอกข้อมูลให้ครบด้วย"

ข้าพเจ้ารับใบออกจากเมืองกลับมาด้วยสีหน้างงๆ เอ๊ะก็เซ็นแล้วหนิ ที่ไฮไลท์ไว้ก็มีเท่านี้

แต่เมื่อก้มมองช่องเลขพาสปอร์ต วันเกิด และอื่นๆ ก็ขพเจ้าก็ถึงบางอ้อ บริษัททัวร์ที่รัก นางเขียนมาให้แต่ชื่อกะไฟล์ทบิน (อันนี้ยอมรับว่าไม่ได้ดูให้ดีเอง แต่ก็นะ นางบอกเองว่าไม่ต้องยุ่งให้เซ็นเฉยๆ)

สรุปคือ ทัวร์ข้าพเจ้าอันนี้คนจำนวนมหาศาล ทุกคนที่ไม่ได้ผ่านเครื่องอัตโนมัติต้องมานั่งกรอกเพิ่มหมด และติดการตรวจโดยถ้วนหน้า 

(รวมถึงตอนเข้าเมืองญี่ปุ่นด้วย ซึ่งอันนี้ถ้าไม่รู้ตัวล่วงหน้าและเตือนกันให้กรอกก่อนบนเครื่อง คงจะเรื่องยาว จากประสบการณ์เคยโดน ต.ม. ญี่ปุ่นกักไว้เกือบ 3 ชั่วโมงมาแล้ว)

อย่างไรก็ตามข้าพเจ้า ก็ยังคิดว่า ช่างมันๆ เรื่องเล็กน้อยไม่ได้คิดมากด้วยความรู้สึกกระริกกระรี้ว่าจะได้ไปเที่ยว

เวลาผ่านไป กระทั่งพวกเราเหินฟ้าไปสู่ดินแดนอาทิตย์อุทัยเรียบร้อย



(ระหว่างนี้มีความนอยด์สวนตัวอันไม่เกี่ยวกับไกด์ผู้่าแต่อย่างใดคือ...ทำไมที่นั่งทุกที่ที่หลับสนิทจอภาพข้างหน้ามันต้องใช้ได้ ยกเว้นจอข้าพเจ้าผู้นอนเช้าเป็นนิจ จะต้องพังพินาศจนอย่าว่าแต่ดูหนังฟังเพลงที่การบินไทยรักคุณเท่าฟ้าจัดให้ แม้แต่จะดูว่าเครื่องบินไปทิศไหน หรือ เราอยู่ความเร็วเท่าไหร่ อุณหภูมิภายนอกเท่าใด [ซึ่งเป็นความสนุกอย่างยิ่งของข้าพเจ้าในวัยเด็ก ในสมัยที่การบินไทยรักคุณเท่าฟ้ายังไม่จัดเกมและหนังมาให้ดูที่จอส่วนตัวหลังหัวคนอื่น] ก็ยังดูไม่ได้)

....เริ่มรู้สึกว่ายาว ต่อตอน 2 ละกันเนอะ

(หรือควรจะบอกว่าไปอาบน้ำเดี๋ยวมาเล่าต่อนะ ตามพันดริฟสไตล์ดีล่ะ)

ด้วยรัก


วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

การเข้าร่วมดราม่าอย่าง(เกือบ)เต็มตัวของข้าพเจ้า


หลายท่านอาจจะทราบแล้วว่าข้าพเจ้ามีชื่อเข้าไปโผล่อยู่ใน ดราม่ายิ่งใหญ่แห่งรอบปีในอินเตอร์เน็ต ดราม่าวงโยฯ

สำหรับคนที่ไม่ได้อ่าน

ปกติข้าพเจ้าเป็นคนที่มักไม่ยุ่งเกี่ยวกับดราม่า ไม่เสพ ไม่อ่าน ไม่ตอบโต้ เพราะหลังจากเคยเข้าร่วมดราม่าเล็กๆ ครั้งหนึ่งด้วยความจริงใจ อยากเสนอแนวทางแก้ปัญหา ข้าพเจ้าก็พบสเตตัสส่วนของของผู้ที่เถียงกับข้าพเจ้าหน้าดำหน้าแดง แอบเขียนไว้ในที่ส่วนตัวว่าจริงๆข้าพเจ้าพูดไม่ผิดหรอก แต่เถียงด้วยแล้วสนุกดี ก่อดราม่าเล่นดีกว่า ข้าพเจ้าผู้ตั้งใจนำเสนอข้อมูลจริงๆถึงกับเงิบแล้วก็บรรลุสัจธรรมว่าด้วยการ "อย่าเอาทองไปรู่กระเบื้อง" (ความหมาย) อย่างชัดเจน


หลังจากห่างหายจากการแสดงความคิดเห็นมานาน ข้าพเจ้าก็พบกับสเตตัสหนึ่งโพสโดยรุ่นพี่วงโยฯที่เคารพผู้หนึ่งเพื่อตามหาคนที่มีทางช่วยเหลือน้องๆกลุ่มนึง ข้าพเจ้าก็ได้แต่เอาใจช่วยและปล่อยผ่านไป ไม่กี่วันหลังจากนั้น ข้าพเจ้าพบโพสเกี่ยวกับน้องกลุ่มเดียวกันกระจัดกระจายทั่วอินเตอร์เน็ต ว่าถึงทางตันขนาดต้องไปนั่งรอคุณตัน ด้วยความที่นานมาแล้วข้าพเจ้าเคยวิ่งหาสปอนเซอร์ให้วงโยฯจนหัวหมุนเช่นกัน (อ่านจากล่างขึ้นบนนะจ๊ะ)




ข้าพเจ้าจึงลองช่วยเหลือดู (ไม่ขออธิบายถึงวิธีการ) จากการช่วยเหลือนั้นทำให้ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดอะไรมากมาย กระทั่งสรุปออกมาได้เป็นข้อย่อยๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยหลายประการ (ซึ่งช่างมันเถอะ) แต่ก็พยายามช่วยอยู่ 

ระหว่างนั้น ข้าพเจ้า กลับโดนหลายต่อหลายคนต่อว่าอย่างดุเดือด(อาจถึงขั้นด่าทอ) [ภายหลังหนึ่งในนั้นได้มาขอโทษแล้ว ส่วนคนอื่นที่หายจ้อยก็ อโหสิกรรมละกันนะหนู] ทำให้เกิดกระแสสังคมตีกลับแบบรุนแรงมาก เพราะการใช้คำหยาบ (เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหลายคนที่ทำให้เกิดดราม่าครั้งนี้ก็ได้มั้ง )

หลังจากเรื่องลุกลามบานปลายผ่านไปหลายวัน โดยที่ข้าพเจ้าแทบไม่พูดอะไรอีกเลย เพราะไม่อยากให้เรื่องใหญ่โต (แต่สุดท้ายมันก็ใหญ่) เลยอยากขอพูดอะไรไว้ ณ ที่นี้เป็นข้อสั้นๆหลายๆข้อ ดังนี้

1. เมื่อแรกเริ่มวิจารณ์ข้าพเจ้าไม่มีความคิดสักเล็กน้อยว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ข้าพเจ้าคิดว่ามันจะจบลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแน่ใจว่าสุดท้ายน้องๆจะได้ไปแข่ง

2. แม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเริ่มมาจากคำหยาบคายที่น้องๆด่าทอ อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นจบไปแล้ว และพ้นมือข้าพเจ้าไปแล้ว หากเป็นไปได้ข้าพเจ้าอยากขอว่า อยากให้เรื่องตอนนี้เป็นเรื่องขุดค้นมากกว่าว่าใครทุจริต มากกว่าการด่าเหมารวมไปโดนน้องๆอีกหลายๆคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

3. ดราม่าครั้งนี้ทำให้เห็นว่า เราแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมากขึ้น โดยไม่สนใจความเป็นปัจเจกบุคคลเลย หลายคนที่ให้ข้อเสนอแนะ ถูกด่าเหมารวมไปกับคนที่เข้ามาซ้ำเติมด้วยความสะใจ หลายคนที่ปกป้องสถาบันด้วยความสุภาพ กลับถูกเหมารวมไปกับหลายคนที่หยาบคาย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขอว่าคราวหน้ามีอะไรเกิดขึ้นพูดกันเป็นกรณีๆเถอะ อย่าเหมารวมกันเลย 

แต่ถ้าขอไม่ได้ก็คงต้องขอว่าก่อนพูดคงต้องระลึกสักนิดว่าเราแบกศักดิ์ศรีอะไรอยู่ และผลที่ตามมาในอินเตอร์เน็ตมันเอากลับมายาก

รูปไม่เกี่ยว คั่นสายตาเฉยๆ วาดเองเชียวนะ
(แล้วทุกคนก็ถามว่าแล้วฝีมือในเพจนั่นคืออะไรเอาอะไรเขี่ยมาให้อ่านกัน)


4. หลายคนอาจจะเห็นไปแล้วว่าข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า คำขอโทษมักเบากว่าคำด่าเสมอ.......ข้าพเจ้ายืนยันคำเดิม เห็นได้ชัดว่า เมื่อทำผิดไปแล้ว ขอโทษมากสักขนาดไหน เรื่องที่คนแชร์มากที่สุดก็ยังเป็นเรื่องความผิดอยู่ดี ดังนั้นคงต้องระวังอะไรมากขึ้น

5. ข้าพเจ้าเสียใจแทนหลายๆคนที่ด่าเหมารวมวงโยฯทั้งวงการ และเสียดายแทนอีกหลายๆวงที่อาจเสียโอกาสไปเพราะคราวนี้ วงการวงโยฯเป็นวงการเล็กๆ ที่หาคนเข้าใจยาก แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าพเจ้าอยากขอว่า อย่าเหมารวมทั้งวงการเลย

6. ขอบคุณดราม่าครั้งนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่ามีผู้คนเอ็นดูข้าพเจ้ามากเพียงใด หลายคนที่ข้าพเจ้าคิดว่าเขาเกลียดขี้หน้าข้าพเจ้ามานับสิบปียังออกมาปกป้องข้าพเจ้า ขอบคุณละกันนะ

7. ขอขอบคุณดราม่าครั้งนี้เช่นกันที่ทำให้ข้าพเจ้าได้คุยกะเพื่อนๆที่ห่างหายเยอะมาก ไม่ว่าจะ 1ปี 2ปี 3ปี 4ปี หรือมากกว่านั้น ........ทักกันมาหมดเลย อยากรู้ข่าววงใน ขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ ว่าข้าพเจ้าไม่มีข่าววงใน(ในวง)นั้น .....มีก็แต่คาดเดาได้จากวงการวงโยฯ ทั่วๆไป ประกอบการอ่านทางอินเตอร์เน็ตบ้าง พูดคุยกับคนในวงการ(ที่ติดต่อมาเม้าเช่นกัน) บ้าง ก็เท่านั้น

8. หวังว่าเรื่องนี้จะจบโดยเร็วและไม่บอบช้ำกับคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์มากเกินไป และหวังว่าคนที่กระทำผิดใช้ผู้อื่นเป็นเครื่องมือ.....จะถูกลงโทษอย่างเหมาะสม

9. อีกประการที่ข้าพเจ้าอยากปกป้องตัวเองไว้ ณ ที่นี้ ......ข้าพเจ้าไม่ใช่คนดี (เห็นได้จากEntryอื่นๆในบล็อกนี้ ขอแอบโฆษณานิดนึง อย่าลืมลองไปอ่านดูนะคะ)ไม่ได้เขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองดูดี ข้าพเจ้าเป็นคนที่มี 2 ด้านเหมือนเช่นคนอื่น ข้าพเจ้าเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาระบายความในใจ และข้อคิดที่ได้จากปรากฏการณ์ครั้งนี้เท่านั้นเอง

10. สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าคงได้ข้อคิดข้อใหญ่ๆที่ว่า ความหวังดีที่เขาไม่ได้ร้องขอ.......ไม่จำเป็นต้องเสนอ


หลังเขียนบล็อกนี้จบไม่รู้จะมีดราม่าซัดมาอีกระลอกไหม แต่นี่คือข้อความจากใจที่อยากเขียน



ขอบคุณค่ะ

เขียนไว้ ณ เวลา 1:33 น. ของวันที่ 3 เมษายน 2557
เหตุการณ์หลังจากนี้ไม่ได้นับรวมอยู่ในความรู้สึกที่ปรากฏในบล็อกนี้


ป.ล. ความในใจหลายท่านที่อ่านจบอาจจะเป็น... "ยาวไปไม่อ่าน"